วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โลกเปลี่ยนแกน...กระทบผิวพรรณ

โลกเปลี่ยนแกน...กระทบผิวพรรณ



จากปรากฏการณ์โลกเปลี่ยนแกน ส่งผลให้กลางวันยาวกว่ากลางคืน ประกอบกับมีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากประเทศจีนเริ่มพัดเข้ามา ทำให้สภาพอากาศแห้งและเย็น

เป็นการเริ่มต้นของฤดูหนาว ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีฝุ่นละอองมาก และจะส่งผลโดยตรงต่อผิวพรรณโดยเฉพาะ ผู้ที่มีผิวไวและมีความเสี่ยงของการเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ชนิดผิวไว และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคผื่นอักเสบบริเวณผิวมัน ซึ่งเป็นโรคผิวหนังที่คนทั่วไปเป็นกันมาก ข้อแนะนำสำหรับโรคผื่นภูมิแพ้ชนิดผิวไวก็คือ หากมีผิวแห้ง ลอก ให้ทาครีมบำรุงผิว หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีฟองและไม่รบกวนผิว เช่น การถู การเกา หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ AHA, BHA หรือควรบำรุงให้ผิวชุ่มชื้นก่อนการใช้ งดการใช้น้ำอุ่น ควรใช้ออยล์ทาก่อนและหลังอาบน้ำเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและลดอาการคัน หากคันมากควรไปพบแพทย์เพื่อการสั่งจ่ายยา

ทั้งนี้ นพ. พรเลิศ ตรีทศเดช แพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวพรรณจากแพนคลินิก กล่าวว่า ลักษณะผิวที่จะมีโอกาสเป็นโรคผิวผื่นภูมิแพ้ชนิดผิวไวก็คือ ลักษณะผิวแบบ Seborrhea Skin โดยระยะแรก ๆ จะมีหน้ามันบริเวณทีโซน คันศีรษะ หากปล่อยไว้ไม่รักษาก็จะมีอาการมากขึ้น เช่น มีสิวเทียม รังแค หน้ามันมากแต่ล้างแล้วแห้ง หน้าตึงเกินกว่า 3 ชม. หลังล้าง ถ้าไม่รักษาก็จะเข้าสู่โรคผื่นอักเสบบริเวณผิวมัน ดังนั้น จึงต้องรักษาสิวเทียมและรังแค ใช้เจลล้างหน้าและใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสม

ที่มา: http://women.kapook.com/view19450.html และเวชสำอางค์

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผิวกระจ่างใส...ด้วยพลังผักผลไม้

ผิวกระจ่างใส...ด้วยพลังผักผลไม้ article

มลภาวะ ฝุ่นควัน แสงแดด และความเครียด เป็นศัตรูตัวร้ายของผิวพรรณที่คอยบ่อนทำลายผิวสวย แก้มใสของคุณให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ ไม่พิสุทธิ์ใสอย่างวัยแรกสาว

คุณไม่ต้องวิตกกังวใจจนถึงขั้นซื้อหยูกซื้อยารักษาสิวฝ้า มาร์คหน้า พอกหน้าด้วยสารพัดเครื่องสำอางราคาแพงลิบลิ่ว ก่อนสิ่งอื่นใดคุณน่าจะลองมองหาวิธีการแก้ไขในเบื้องต้นที่จะช่วยบำบัดผิวให้กลับมากระจ่างใส ด้วยพืชผักผลไม้ที่เรียกได้ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ แถมยังหาง่ายมีใกล้ๆตัวค่ะ คืนความสดใสแก้ไขผิวอ่อนล้าไม่สดใส

ผิวแห้งเหี่ยวย่นขาดความนุ่มชุ่มชื่นลองใช้แตงกวาสดๆล้างน้ำให้สะอาด นำไปสับหรือปั่น คั้นเอาแต่น้ำ นำมาทาบางๆให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออก ผิวหน้าของคุณจะสดใสมีชีวิตชีวา สามารถช่วยคืนความสดชื่นให้กับผิวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผิวหน้าที่อ่อนล้าและทรุดโทรม หรือจะใช้ชาซึ่งในใบชามีสารบางชนิดเป็นยาฝาดประสานอยู่ ช่วยเคลือบผิวที่บอบช้ำให้กลับคืนสู่สภาพปกติ โดยนำใบชาที่ต้มแล้วบรรจุลงบนถุงผ้าสะอาดบางๆ ขนาดเล็ก แล้ววางบนใบหน้าหรือบริเวณรอบดวงตา ช่วยให้ผิวหน้าและผิวรอบดวงตาชุ่มชื่นสดใสได้อีกครั้ง คืนผิวสวยเนียนใส ไร้รอยด่างดำ

ผิวหน้ามากด้วยสิว ฝ้า ริ้วรอย จุดด่างดำ ไม่ขาวนวลกระจ่างใส แนะนำให้ใช้น้ำผึ้งแท้ๆ และมะขามเปียก นำมาผสมกันในอัตราส่วนที่เข้มข้นทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกจะช่วยให้ผิวหน้าคุณนวลเนียนผ่องใส ไม่หมองคล้ำ ดูเกลี้ยงเกลามากยิ่งขึ้นค่ะ หรือใช้น้ำมะนาวผสมน้ำ 1:1 มาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออก ทำวันละ 1 ครั้ง เพื่อสิว ฝ้า จุดด่างดำค่อยๆเลือนหาย แล้วผิวยังนุ่มนวลอีกด้วยค่ะ
ให้ผิวสวยยิ่งสวยเปล่งปลั่ง

บำรุงผิวสาวให้ยิ่งสดใส ด้วยผลอโวคาโด ซึ่งเป็นผลไม้ของฝรั่ง เปลือกสีเขียว ผิวมีลักษณะขรุขระ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน เอ บี ซี ดี และอี โดยก่อนที่คุณจะเข้านอนให้นำผลอโวคาโดประมาณ 1/2 ของผล มาบดหรือปั่นให้ละเอียดจนเหมือนเนยเหลว แล้วนำไปแช่ตู้เย็นไว้สักครู่ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วค่อยล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณยิ่งเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น น่าสัมผัสค่ะ หรือใช้มะเขือเทศสุกสดๆมาปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาพอกที่ผิว ซึ่งในน้ำมะเขือเทศสุกมีสารที่ช่วยในการขจัดเชื้อแบคทีเรียตามรูขุมขน ช่วยให้ผิวสดใสยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยสมานผิวให้นุ่มชุ่มชื่น เต่งตึงมีน้ำมีนวล
สมานผิวให้นุ่มชุ่มชื่น ด้วยวุ้นจากว่านหางจระเข้ โดยใช้วุ้นที่ตัดออกมาใหม่ๆจากต้น ล้างยางสีเหลืองออกให้สะอาด แล้วนำวุ้นมาตีปั่นให้ละเอียดก่อนนำมาพอกที่ผิว จะช่วยบำรุงให้ผิวนุ่มมีสุขภาพดี อีกทั้งยังช่วยสมานแผลได้อีกด้วยค่ะ

แต่ถ้าหากผิวหน้าของคุณมีสิวฝ้ามาก ทั้งสิวอักเสบ รอยแผลเป็น จุดด่างดำ ฝ้าลึก กระที่เกิดขึ้นมากจนไม่สามารถจะใช้ธรรมชาติบำบัดผิวได้ การไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจรักษา ก็คงจะเป็นการดีกว่าที่ไปหาซื้อยาหรือเครื่องสำอางที่เราก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่ามีมาตรฐาน และความปลอดภัยจริงไหมคะ

ที่มา: http://www.siamdara.com/VarietyK/00011859.html และ เวชสำอางค์

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผิวของคุณ แห้งกร้าน ลอกเป็นขุย หรือเปล่าค่ะ

ผิวของคุณ แห้งกร้าน ลอกเป็นขุย หรือเปล่าค่ะ

ผิวแห้งกร้าน ถ้าใช่ คุณอาจมี ผิวแห้ง ค่ะ สภาพ ผิวแห้ง สร้างปัญหาได้มาก ทั้งริ้วรอยก่อนวัย เป็นผดผื่นคันได้ง่าย แต่คุณสามารถดูแล ผิวแห้ง ได้อย่างถูกวิธี และ วิธีป้องกันปัญหาเหล่านี้ ได้ไม่ยากค่ะ
ลักษณะของ ผิวแห้ง
ผิวแห้ง จะมีรูขุมขนที่ละเอียด แต่ ผิวแห้ง กร้าน และอาจรุนแรงถึงลอกเป็นขุย ผิวไม่นุ่มนวล มักมีปัญหาเรื่องริ้วรอย ก่อนวัยได้ง่ายค่ะ
สาเหุตุของ ผิวแห้ง
ผิวแห้ง มีหลายสาเหตุค่ะ อย่างแรกที่เกี่ยวกับผิวโดยตรง ก็คือ ต่อมผลิตไขมันทำงานลดลง ผิวขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ และ ผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื่นไว้ได้ ระดับน้ำในชั้นใต้ผิวซึ่งตามปกติจะอยู่ราว 10-20 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อไหร่ที่ลดลงเหลือน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ผิวจะจะเริ่ม แห้ง จนสังเกตได้ เกิดเป็นริ้วรอยเล็กๆ หรือที่เรียกกันว่า fine line นอกจากนี้ ผิวแห้ง ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพแวดล้อมรอบตัว การดูแลผิวที่ไม่ถูกต้อง และ รวมถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยอื่นๆทำให้ ผิวแห้ง
สภาพแวดล้อมจะส่งผลกระทบต่อผิวง่ายมาก เช่น
- ความชื้นในอากาศ อย่างวันที่อากาศแห้งเกินไป อากาศที่หนาวจัด หรือ ลมหนาว พวกนี้ทำให้ ผิวแห้ง ทั้งนั้น
- แสงแดด คนที่อยู่กลางแดดจัดๆ เป็นเวลานานสังเกตุดู ผิวจะเริ่ม แห้งกร้าน ถ้าไม่มีการทาครีมกันแดดผิวก็จะเริ่ม แห้ง ลงเรื่อยๆ และ ก่อให้เกิดริ้วรอยที่ชัดเจนมากขึ้น
- มลภาวะต่างๆ ทำให้ ผิวแห้ง ได้ง่าย เพราะ ผิวถูกทำลายอยู่ตลอดเวลา

การดูแลผิวที่ไม่ถูกต้อง
การดูแลผิวที่ถูกต้องก็เป็นเรื่องสำคัญค่ะ เพราะบางครั้ง ผิวแห้ง เกิดจากกระทำของเราเอง เช่น สบู่ล้างหน้าที่ไม่อ่อนโยนต่อผิว ใช้มาส์ก หรือ สครับขัดผิวบ่อยเกินความจำเป็น หรือ ใช้โลชั่นเช็ดผิวที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการรบกวนชั้นผิวบางๆชั้นบนสุดของผิว ทำให้ผิวถูกทำลายและสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติของผิวไป ทำให้ผิวเริ่ม แห้ง ส่วนคนที่ไม่ค่อยทะนุถนอมผิว เช่น เช็ดหน้าแรงๆ ก็ทำให้ ผิวแห้งกร้าน ขึ้นได้ การล้างหน้าด้วยน้ำที่ร้อนเกินไปก็ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นได้เช่นกัน

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอายุ
เมื่อเราแก่ตัวลง ฮอร์โมนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง การผลิตน้ำมันตามธรรมชาติของผิวก็เริ่มลดลง ทำให้ผิวเริ่มขาดความชุ่มชื้น เริ่มแห้ง จนสังเกตได้ นั่นคือคำตอบที่ว่า ทำไมคนที่อายุมากๆจึงต้องกระตือรือร้นที่จะหาครีมบำรุงมาทาผิวเพื่อช่วยทดแทนสิ่งที่ขาดไป ช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นไว้ได้นานที่สุดเท่าที่จะมากได้
และสุดท้ายเลยก็คือ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ หรือ คาเฟอีนมากไปก็มีส่วนทำร้ายผิวให้ แห้งกร้าน ได้ เช่นคนที่ความดื่มน้ำอัดลม กาแฟ และคนที่สูบบุหรี่จัดๆ ผิวหน้าจะไม่สวย จะ แห้ง และดูแก่เร็วมาก
ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าคน ผิวแห้ง จะมีริ้วรอยก่อนวัยหรือดูแก่เร็วกว่าคนอื่น

ริ้วรอยที่เกิดจาก ผิวแห้ง กับ ริ้วรอยที่เกิดจากวัยนั้นต่างกัน คนที่มี ผิวแห้ง อาจมีริ้วรอยง่ายกว่าคนที่มีผิวมัน แต่มันจะเป็นแค่ริ้วรอยชั่วคราว เป็นแค่ริ้วรอยบางๆที่เกิดจาก ผิวแห้งแตก (ตามธรรมชาติของคน ผิวแห้ง) เราเรียกกันว่า fine line อาจเกิดจากการที่ผิวได้รับการบำรุงไม่พียงพอ ขาดความชุ่มชื้น ร่างกายขาดน้ำ
แต่ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ถ้าผิวได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ริ้วรอยเหล่านั้นก็จะหายไปได้ ดังนั้นไม่ได้หมายความว่าคน ผิวแห้ง จะดูแก่เร็วกว่าคนอื่น เพียงแต่ต้องบำรุงมากกว่าปกติเท่านั้น คน ผิวแห้ง บางคนดูแลผิวอย่างดี มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็ทำให้ผิวดูดี สดชื่นได้
ส่วนริ้วรอยที่เกิดจากวัยนั้นไม่ว่าจะมี ผิวแห้ง หรือ ผิวมันก็ต้องมีทุกคน เป็นริ้วรอยที่เลี่ยงไม่ได้ และเป็นริ้วรอยที่ถาวรค่ะ
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นคน ผิวแห้ง หรือไม่
ผิวแห้ง
ถึงแม้ว่าทุกคนอาจจะมีโอกาส ผิวแห้ง ได้บางขณะ เช่น เวลาอยู่บนเครื่องบิน หรือ เวลาดื่มน้ำไม่เพียงพอ แต่คนที่จัดว่าเข้าข่าย ผิวแห้ง นั้น จะมี ผิวที่แห้ง กว่าคนอื่นอย่างสังเกตได้ชัดเจน เช่น
หลังอาบน้ำเสร็จถ้ารู้สึกว่า ผิวเริ่มแห้ง มีอาการคันและระคายเคือง ทั้งที่อาบน้ำเสร็จมาไม่กี่นาทีนี้เอง นั่นหมายความว่าคุณเข้าข่าย ผิวแห้ง ได้

หรือถ้าอยากทดสอบง่าย ๆ หลังการล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆและน้ำอุ่นๆเสร็จแล้ว ให้ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ห้ามทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ใด ๆ เด็ดขาด ทิ้งเอาไว้ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นเอากระดาษซับมันแปะไว้ที่จุดต่างๆของใบหน้า ได้แก่ หน้าผาก แก้ม จมูก และคาง เสร็จแล้วเอากระดาษซับมันออกมาดู
ถ้าเกิดกระดาษซับมันแผ่นไหนไม่มีน้ำมันลย คือ ส่องดูกับแดดแล้วไม่มีส่วนไหนโปร่งแสงเลย ก็แสดงว่าส่วนนั้นเป็นส่วนที่ ผิวแห้งสำหรับคนผิวผสมนั้น กระดาษที่แปะไว้ตรงจมูกและคางอาจจะมัน ส่วนที่หน้าผากและแก้มอาจจะ แห้ง สนิท ในขณะที่คนผิวมันนั้นกระดาษทุกแผ่นจะมันจนเห็นได้ชัด

การดูแลผิวสำหรับ ผิวแห้ง
ทาครีมบำรุงผิว ผิวแห้งสำหรับผู้ที่มี ผิวแห้ง ควรต้องบำรุงผิวให้มาก คน ผิวแห้ง ควรจะทามอยส์เจอร์ไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเก็บกักน้ำและเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว และ ช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื่นได้ โดยเฉพาะหลังการล้างหน้า
นอกจากนี้การล้างหน้าก็สำคัญค่ะ ผู้ที่มี ผิวแห้ง ควรล้างหน้า เพียงวันละ 2 ครั้ง หรือ อาจล้างหน้าวันละครั้งในตอนเย็นก็ได้ ส่วนตอนเช้าแค่น้ำสะอาดเปล่าๆ งดการ ล้างหน้า ด้วยน้ำค่อนข้างร้อน และ ควรเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้น หรือ มอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง และ ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับปราการที่ปกป้องผิวหนังตามธรรมชาติ หลังล้างแล้วไม่ทำให้ ผิวแห้ง ตึง
ส่วนวิธีง่ายๆอย่างการดื่มน้ำเยอะๆ ก็เป็นวิธีที่ดีมาก เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำ นั่นหมายถึง ผิวสวยก็ขาดความชุ่มชื้นไปด้วย ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้วเป็นดีที่สุด แต่ดื่มมากไปก็ใช่จะช่วยได้มาก เพราะถ้ามากเกินปริมาณที่ร่างกายจะรับได้ มันเป็นถ่ายเทออกมาเป็นของเหลว เช่น ปัสสาวะ โดยอัตโนมัติทันที

อีกวิธีที่เป็นวิธีทางอ้อม แต่ช่วยผิวได้ ก็คือ การเอาน้ำใส่แก้วแล้ววางไว้ใกล้ๆตัว ทั้งในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือที่ทำงาน โดยเฉพาะห้องที่มีความแห้งในอากาศ อย่างห้องแอร์ เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศ ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นน้อยลง
ดังนั้นคนที่ ผิวแห้ง ถ้ารู้จักวิธีดูแลและป้องกันก็ช่วยให้ผิวดูดีได้นะคะ เพราะข้อได้เปรียบของคน ผิวแห้ง ก็คือ มีรูขุมขนเล็ก ผิวเลยดูละเอียด เรียบเนียน และ แทบจะไม่ต้องกังวลกับปัญหาเรื่องสิวเลย
ที่มา: http://www.derminet.com/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=19&Id=571829

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กรดไฮยาลูรอนิค หรือ Hyaluronic Acid (HA) เพื่อการบำรุงผิว และลดเลือนริ้วรอย

กรดไฮยาลูรอนิค หรือ Hyaluronic Acid (HA) เพื่อการบำรุงผิว และลดเลือนริ้วรอย article

กรดไฮยาลูรอนิค หรือ Hyaluronic Acid (HA) เพื่อการบำรุงผิว และลดเลือนริ้วรอย

คนส่วนใหญ่ เวลาที่นึกถึงสาเหตุถึงความชรา ความหย่อนยานของผิว ริ้วรอยที่ปรากฏขึ้น หรือผิวที่ขาดความชุ่มชื่น มักจะคิดถึงแต่คอลลาเจน (Collagen), อิลาสติน (Elastin) และการแสดงอารมณ์บนผิวหน้าอย่างสุดซึ้งไปเท่านั้น แต่ยังลืมนึกไปว่า สิ่งที่สำคัญมากอีกตัวหนึ่งนั้นก็คือ กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid, HA) หรือไฮยาลูรอน ที่เราเคยรู้จักหรือได้ยินจากโฆษณาว่าเป็นส่วนผสมอยู่ในเครื่องสำอางเพื่อการลดเลือนริ้วรอยต่างๆนั่นเอง

Hyaluronic Acid (HA) คืออะไร???

Hyaluronic acid (HA) คือกรดที่ร่างกายของเราผลิตขึ้นมา มีอยู่ทั่วไปตามร่างกาย และโดยเฉพาะบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างอวัยวะและเซลล์ เพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสีและเพิ่มความยืดหยุ่น เช่นจุดเชื่อผมต่อบริเวณหัวเข่า ถ้าขาดสารตัวนี้ จะมีผลทำให้การเดินจะเจ็บปวดเพราะว่าไม่มีตัวช่วยลดการเสียดสีระหว่างกระดูกข้อต่อนั่นเอง, จะเห็นว่ามันยังถูกใช้ในวงการแพทย์อีกด้วย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ที่กว้างขวางของ HA ต่อวงการแพทย์

ประโยชน์ของ กรดไฮยาลูรอนิค ที่มีต่อผิวหน้า

แต่สำหรับผิวหน้าของเรานั้น กรดตัวนี้จะถูกผลิตขึ้นและถูกหล่อเลี้ยงจากบริเวณผิวหนังชั้น dermis (ผิวชั้นล่าง) และกระจายไปถึงผิวหนังชั้น epidermis (ผิวหนังชั้นบน) บทบาทสำคัญที่เราควรตระหนักก็คือ มันจะช่วยให้ผิวหนังสามารถเก็บกักความชุ่มชื่นได้มากกว่าปกติหลายเท่าเลย (โดยที่ไม่เพิ่มความมันแบบที่ไม่ดี sebum บนผิวชั้นนอก ดังนั้นคนที่มีผิวมันก็สบายใจขึ้นมาบ้าง) เมื่อผิวมีความชุ่มชื่นที่ดีเพียงพอ ผิวหน้าก็จะดูอ่อนกว่าเยาว์ ดูเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง มีความยืดหยุ่น นุ่มนวล และดูมีชีวิตชีวา กรดไฮยาลูรอนิคยังช่วยให้รักษาอาการบาดเจ็บของเซลล์ผิวหนังได้เร็วกว่าเดิม 80% อีกด้วย นั่นหมายความว่าผิวสามารถที่จะสมานและฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น ผลดีอีกข้อนั่นก็คือการช่วยทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นด้วย (plump effect) และโดยปรกติการไหลเวียนของเลือดจะเป็นตัวนำของเสียออกจากเซลล์ตามธรรมชาติ แต่สำหรับเซลล์ผิวที่ไม่ได้ติดต่อกับเส้นเลือดโดยตรง กรดไฮยาลูรอนิคนั้นขะช่วยเพิ่มการนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิวในส่วนนั้น และยังช่วยกำจัดของเสียออกจากเซลล์เหล่านั้น

แต่เมื่ออายุมากขึ้น ตั้งแต่ 30-40 ขึ้นไป การผลิตกรดไฮยาลูรอนิคตามธรรมชาติก็ลดน้อยลงไปด้วย ผลก็คือผิวที่จะสูญเสียความชุ่มชื่น ผิวแห้งขึ้น และขาดความยืดหยุ่น สิ่งที่จะตามมาไม่ช้านั่นก็คือ ริ้วรอยที่จะเพิ่มมากขึ้น และความแก่ชราก็จะปรากฏชัดขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิคสำหรับผู้ที่มีอายุมากขึ้นหรือผู้ที่มีผิวแห้ง ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกเหนือไปจากการบำรุงและเสริมสร้างแต่เพียง collagen - elastin และลดริ้วรอยแค่พื้นผิวภายนอกตามปรกติค่ะ

ต้องขอขอบคุณแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์ K.Startnow Blog จากเว็บไซต์ http://www.bloggang.comที่ได้ให้ความกระจ่างกับเราว่าทำไมหลังการใช้ HA ไปแล้วถึงมีผลหลังการใช้ในทางที่ดีขึ้นหลายๆอย่าง นอกจากการให้ความชุ่มชื่น และลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าด้วยนะคะ

ที่มา: http://www.thainn.com/blog.php?m=hommspa&d=2242

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

Lumixyl Peptide Brightening Creme

นวัตกรรมใหม่สำหรับรักษาผิว ที่สุดแห่งความอ่อนโยน เพื่อผิวกระจ่างใส ลบเลือนจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลด Hyperpigmentation หรือ การทีผิวหนังมีสีน้ำตาลเข้มขึ้นหรืออาจเห็นเป็นสีคล้ำจนถึงดำ เกิดจากการที่มีเม็ดสีดำของผิวที่เรียกว่า melanin pigment เพิ่มในชั้นผิวหนัง ซึ่งทำให้หน้าด่างดำรักษายังไงก็ไม่หาย (ซึ่งอาจจะเกิดจากแผลเป็นของอีสุกอีใส) ซึ่งผู้ใช้ Lumixyl ได้รับรองว่าลดอาการดังกล่าวได้

Lumixyl ผ่านการวิจัยโดยห้องแลบของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถลดเมลามีนได้กว่าร้อยละ 40 โดยไม่มีผลข้างเคียง

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อน เยาว์

29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์ article





29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อน เยาว์

1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู

2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลือง ต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำ ๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก

3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียว ๆ ม่วง ๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบาง ๆ แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว

4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอลนัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ

5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค

6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบ เนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้

7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและสารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดง สดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย

8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบ ๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียงโรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่น ๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรก

10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้างพิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว

11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปัง หรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือ เนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน

12.ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ

13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง

14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า

15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้ว ยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย

16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผล แทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย

17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีส ที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้

18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบา

19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุน ช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี

20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่า สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)

21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกัน ก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม

22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า สารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิด เนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ

23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ก็อร่อยไม่เบา

24. บล็อคโคลี่ : การ รับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว

25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็งรับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง

26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ

27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็ก ๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อย ๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี

28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะเลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่ มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง

29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้ จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งยังช่วย ในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ ใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว

ที่มา: วิชาการดอทคอม และ เวชสำอางค์ออนไลน์

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิตามินซีคืออะไร

what-is-vitamin-c.html.jpg


ประวัติการ ค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง

ประโยชน์ของ วิตามินซี
เรา ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น

นอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ

วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้

วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน

หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว

เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง

ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรค ต้อกระจก ลดลงถึง 77%

บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น

ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น

ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับ อาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10

ขนาดที่รับประทาน
ใน สภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพ ที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม

หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัล ว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม

ข้อปฏิบัติในการรับประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด

เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัว อื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี

เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน

สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด

การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน

การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน

ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา

ข้อควรระวัง

การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium

การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้

วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน

ที่มา: http://www.jakkapob.com/index.php/anti-melasma-freckle-and-whitening-products/30-vitamin-c-and-skin-whitening-and-anti-wrinkle?showall=1

เวชสำอางค์

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

HYALURONIC ACID มีผลอย่างไรต่อริ้วรอย?

Hyaluronic acid (กรดไฮยาลูโรนิก) เป็นสารที่ใช้กันมานานกว่า 10 ปี และนิยมใช้ในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิว ปัจจุบันนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมมาตลอด เป็นเพราะว่ามันออกฤทธิ์ได้ผลดี โดยเฉพาะช่วยในการลดริ้วรอย

Hyaluronic acid นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์โดยเฉพาะทางด้านความงาม (ทั้งในรูปครีมทาและยาฉีด) และในธุรกิจเครื่องสำอางเอง พวกเราก็จะพบเห็นได้บ่อยมากในผลิตภัณฑ์กลุ่มลดริ้วรอย ด้วยความสามารถในการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย และเร่งขบวนการหายของแผล ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ ถูกนำมาใช้เป็นจุดขายหลักของผลิตภัณฑ์แบรนด์เนมหลายตัว และรวมไปถึงเวชสำอางที่เป็นแบรนด์เนมของแพทย์ โดยใช้เป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญร่วมกับโคเอ็นไซม์-คิวเท็น (Coenzyme Q10), วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ

ร่างกายคนเราสามารถสร้าง Hyaluronic acid ได้เอง โดยพบมากที่ผิวหนัง และปัจจุบันก็มีการผลิตขึ้นมาขายในเชิงพาณิชย์โดยผ่านขบวนการหมักทางชีวภาพ

Hyaluronic acid มีลักษณะหนืดข้น ละลายน้ำได้และมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีมาก แนะนำให้ใส่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (ทั้งครีมบำรุง, โลชั่น, สเปรย์, ลิปสติก อื่นๆ) ที่ความเข้มข้น 0.25% ถึง 2.00%

นอกเหนือจากคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดีแล้ว มันยังช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระและช่วยกรองรังสี UV ได้อีกด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่า โดยลำพังแล้วกรดไฮยาลูโรนิกก็จัดได้ว่า เป็นสารที่ช่วยชะลอความแก่ที่มีประสิทธิภาพดีตัวหนึ่ง จึงมีราคาค่อนข้างแพงพอควร และราคาของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของปริมาณกรดไฮยาลูโรนิกที่ใช

เครื่องสำอางเอสเต้ ลอเดอร์ (Este่e Lauder) เป็นรายแรกที่ได้ออกไลน์สินค้าชื่อ เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ (Perfectionist) หลังจากที่ได้ทุ่มเทเงินจำนวนมหาศาลในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ขึ้นมา ซึ่งทางเอสเต้เองก็อ้างว่า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและลดริ้วรอยได้ เมื่อใช้สม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน

หลังจากที่เอสเต้ได้เปิดตัวไลน์สินค้า เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ขึ้นมา สินค้าในกลุ่มนี้ก็มียอดขายเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งสารสำคัญที่ช่วยให้สินค้าในไลน์นี้ของเอสเต้ประสบความสำเร็จก็คือ Hyaluronic acid นั่นเอง

ปัจจุบัน มีเครื่องสำอางหลายชนิดที่ได้เลียนแบบเครื่องสำอางในชุดเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ของเอสเต้ตัวนี้ รวมไปถึงสินค้าที่เป็นแบรนด์ของแพทย์ก็เช่นกัน ซึ่งมีทั้งในรูปของครีมทา เช่น SAL Whitening X2 Lotionเป็นต้น

ในประเทศไทยเองก็มีการนำเข้าสารเคมีตัวนี้มาใช้ในครีมบำรุงผิวกันมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเวชสำอาง ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาค่อนข้างสูง ระยะหลังมีการนำ Hyaluronic acid เข้ามาจากจีน ซึ่งก็มีราคาถูกลง แต่พวกคุณก็ต้องระวังด้วย เพราะกรดไฮยารูโลนิกบางตัวมีราคาถูกมาก เนื่องจากเป็นเกรดที่ต่ำ เมื่อใส่ในผลิตภัณฑ์แล้วมักจะใช้ไม่ได้ผล -- ตามที่ผู้ผลิตอ้าง ดังนั้นพวกคุณอาจจะต้องเสียเงินเปล่า เพราะขายสินค้าไม่ได้

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับทาโลชั่นบำรุงผิวสวย (ข่าวสด)

เอ-กฤษณา เรืองศรี กูรูชื่อดังจาก ดิวาน่า เนอเชอร์ สปา ให้คำแนะนำสาว ๆ เรื่องการดูแลผิวว่า การทาโลชั่นบำรุงทั่วตัวเป็นเรื่องไม่ยาก แต่สาว ๆ ชอบละเลย เพียงใส่ใจเพิ่มขึ้นอีกสักนิด ทาโลชั่นให้ครอบคลุมทั้งบริเวณต้นแขน ต้นขา แผ่นหลัง และหน้าท้อง บวกกับเคล็ดลับดูแลผิวพรรณง่ายๆ แค่นี้สาว ๆ ก็พร้อมอวดผิวทุกที่ ทุกเวลาอย่างมั่นใจ
สำหรับการทาโลชั่นในส่วน ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และแผ่นหลัง ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือเสียเวลาอย่างที่หลายคนเข้าใจ และไม่ได้ "สิ้นเปลือง" อย่างที่คิด เพียงแค่เตรียมผิวให้สามารถซึมซับคุณค่าบำรุงจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ด้วยการใช้แปรงที่ทำจากขนสัตว์ขัดผิวให้ทั่วตัวก่อนอาบน้ำทุกครั้ง เท่านี้ก็ช่วยผลัดเซลล์ตายทำให้เนื้อโลชั่นซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ดียิ่งขึ้น พร้อมช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิตให้รู้สึกสดชื่นตลอดวัน และการทาโลชั่นที่ถูกต้อง คือ นวดกดลงน้ำหนักเล็กน้อย ด้วยฝ่ามือวนซ้ำช้า ๆ เหมือนก้นหอยให้ทั่วตัว โดยไม่ลืมผิวส่วนสำคัญ อย่างต้นขา แผ่นหลัง หน้าท้อง และต้นแขน
ช่วงเวลาที่เหมาะกับการทาโลชั่นให้ผิวกาย เพื่อให้ได้คุณค่าบำรุงสูงสุด คือหลังอาบน้ำตอนเช้าและเย็น เพราะเป็นช่วงที่รูขุมขนเปิด พร้อมรับคุณค่าสารอาหารเข้าสู่ชั้นผิว และต้องวอร์มโลชั่นให้อุณหภูมิเท่ากับผิว ด้วยการถูไปมาบนฝ่ามือทั้งสองข้างราว 5-10 วินาที หรือจนรู้สึกว่าเนื้อโลชั่นอุ่นขึ้นเสียก่อนถึงจะซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น
สาว ๆ ที่ผิวมีจุดด่างดำกวนใจหรือมีสีผิวไม่สม่ำเสมอ แนะนำให้ใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของไข่มุกธรรมชาติ และยูวีฟิลเตอร์ ช่วยลดปัญหาผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำ เพื่อผิวเนียนสวยกระจ่างใสทั่วเรือนร่าง
ที่มา: ข่าวสด และ MaProud.com เวชสำอางค์

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

SAL WHITENING X2 LOTION


SAL WHITENING X2 LOTION ปริมาณสุทธิ 50 มิลลิลิตร

อายุที่มากขึ้น แสงแดด มลภาวะในเมืองใหญ่ และวิ๔ีชีวิตประจำวัน ล้วนเป็นปัจจัยนำไปสู่ความร่วงโรยของผิวที่สังเกตุได้ ทั้่งสีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวขาดความยืดหยุ่นและริ้วรอยเหล่านี้คือสภาพปัญหาผิวอันเกิดจากเม็ดสีทำงานผิดปกติ คอลลาเจนถูกทำลาย ขาดความชุ่มขื้น

SAL นำเสนอผลิตภัณฑ์แก้ปัญหาผิวเทคโนโลยีล่าสุด ในการซ่อมแซมผิวคุณ เพื่อผลลัพธ์คือผิวสุขภาพและแลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ปริมาณ 50 มิลลิลิตร ประกอบไปด้วย

- Kojic Acid และ Alpha Arbutin ลดเลือนจุดด่างดำและแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ

- Hyaluronic Acid รักษาน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติในผิว ให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น

- Aloe Barbadensis, pueraria lobata และ Chlorella Vulgaris สารสกัดธรรมชาติปกป้องผิวจากความหยาบกร้าน

- Dipotassium Glycyrrhizate ปกป้องผิวจากอาการอักเสบและระคายเคือง

เหมาะกับทุกสภาพผิว

หลังทาผลิตภัณฑ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของ SAL แล้ว ทาผลิตภัณฑ์แก้ปัญหาผิวให้ทั่วใบหน้า ลำคอ และเนินอก

ที่มา: SAL WHITENING X2 LOTION

SAL HYDRO COLLAGEN GEL

หลังจากปกป้องผิวด้วยผลิตภัณฑ์ต้านอนุมูลอิสระและแก้ปัญหาผิวแล้ว ผิวยังต้องการความชุ่มชื้นเพื่อคงความกระชับและเปล่งปลั่งของผิว

ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นและกระชับผิวของ SAL ค้นคว้าวิจัยเพื่อคัดเลือกเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการปกป้องผิวจากความแห้งกร้าน การระคายเคืองและขาดความยืดหยุ่น พร้อมคืนความสมบูรณ์และสมดุลที่ดีให้กับผิว SAL HYDRO COLLAGEN GEL ปริมาณ 50 มิลลิลิตร ประกอบไปด้วย

- Hydrolyzed
- Hyaluronic Acid
- Botanics และ Seaweeds
- วิตามินซี และอี ต่อต้านอนุมูลอิสระ
เหมาะกับผิวแห้งและผิวธรรมดา
หลังทาผลิตภัณฑ์ตามขั้นตอนการดูผิวของ SAL แล้ว ทาผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นและกระชับผิวทั่วใบหน้า ลำคอ และเนินอก

ที่มา: SAL HYDRO COLLAGEN GEL

SAL LICOEX Cream



อายุที่มากขึ้น แสงแดด มลภาวะในเมืองใหญ่ และวิ๔ีชีวิตประจำวัน ล้วนเป็นปัจจัยนำไปสู่ความร่วงโรยของผิวที่สังเกตุได้ ทั้่งสีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวขาดความยืดหยุ่นและริ้วรอยเหล่านี้คือสภาพปัญหาผิวอันเกิดจากเม็ดสีทำงานผิดปกติ คอลลาเจนถูกทำลาย ขาดความชุ่มขื้น

SAL ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์แก้ปัญหาผิวเทคโนโลยีล่าสุด ในการซ่อมแซมผิวคุณ เพื่อผลลัพธ์คือผิวสุขภาพและแลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ SAL LICOEX CREAM ขนาด 30 กรัม ประกอบไปด้วย

- Poly Soluble Licorice Extract P-T (40) สารสกัดลิโคไรซ์ ที่ให้ประสิทธิภาพความขาวด้วยการยับยั้งกระบวนการเกิดเม็ดสี (melamin bio-synthesis) ยับยั้งความร่วงโรย (anti-aging) และต่อต้านแบคทีเรีย (antimicrobial)

- Stearyl Glycyrrhetinate ช่วยป้องกันรอยหมองคล้ำและสีผิวผิดปกติที่เกิดจากการอักเสบ (inflamation) ระคายเคือง รวมถึงการเกิดผื้ช่นแดงจากแสงแดด (irritation and erythema formation)

- Amino Acid Blend กระอะมิโนแบบผสมผสาน ให้ความชุ่มชื้น (humectant)

- Hyalyronic Acid รักษาน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติของผิว

- Vitamin C&E ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ

เหมาะกับผิวธรรมดา และผิวแห้ง หลังทาผลิตภัณฑ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ทาผลิตภัณฑ์แก้ปัญหาผิวให้ทั่วใบหน้า ลำคอ และเนินอก

ที่มา: SAL LICOEX CREAM

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

SAL F+APP ESSENCE


ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน ใช้สำหรับต่อต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิว เพิ่มความเยาว์วัย มีส่วนประกอบของ Fullerene ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ผู้คิดค้น Fullerene ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี ในปี ค.ศ. 1997

SAL F+APP ESSENCE ผลิตภัณฑ์ผิวขาวใส ผลิตในประเทศญี่ปุ่น แนะนำใช้กันในกลุ่มแพทย์ผิวหนัง มีส่วนประกอบของFullerene (ผู้คิดค้น Fullerene ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี ในปี ค.ศ. 1997) ใช้สำหรับต่อต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิว เพิ่มความอ่อนเยาว์วัย โดยฟูลเลอรีนจะเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว ฟูลเลอรีนยังมีคุณสมบัติสูงกว่าไวตามินซีถึง 125 เท่า ช่วยลดการเกิดเมลานิน ทำให้ผิวขาวใสและชลอการแก่ก่อนวัย ลดริ้วรอย หรือ AAW (Anti- Aging Whitening) เหมาะกับผิวทุกประเภท

ส่วนประกอบสำคัญ:

– F (Fullerene) นวัตกรรมสารต้านอนุมูลอิสระล่าสุดที่ได้รับรางวัลโนเบล มีประสิทธิภาพในการกำจัดอนุมูลอิสระมากกว่า Vitamin C 125 เท่า ทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังตั้งแต่ชั้นบนสุด (epidermis)

– APPS (Ascorbyl Palmitate Phosphata) รูปแบบของ Vitamin C ใหม่ล่าสุด ที่สามารถซีมเข้าสู่ผิวหนังชั้นในสุด (dermis) ได้มากกว่า Vitamin C ทั่วไป 10-100 เท่า ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระและความร่วงโรย และลดริ้วรอย

– Hyaluromic Acid และสารสกัดจากพืชพรรณธรรมชาติช่วยคงความชุ่มชื้นให้กับผิว

วิธีใช้ ทาทั่วใบหน้า ลำคอ และบริเวณเหนือทรวงอก ให้ซึมลงสู่ผิวจนหมด

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แพทย์แนะนำวิธีชะลอความแก่

วิธีชะลอความแก่และป้องกันริ้วรอย ทำได้โดย

  1. หลีกเลี่ยงแสงแดด

    • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ ในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. เพราะเป็นช่วงที่มีรังสีอัลตราไวโอเลตสูงสุด หากจำเป็นต้องออกแดดช่วงนั้น ก็ควรกางร่ม
    • ใช้ครีม กันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ 15 ขึ้นไป โดยทาครีมก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที ควรเลือกชนิดกันน้ำและไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม อาจจำเป็นต้องทาซ้ำหากต้องทำกิจกรรมที่ทำให้ครีมลบเลือนได้ง่าย

  2. หลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น
    • ควรเปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ และใช้หมอนทรงเตี้ย เพื่อป้องกันริ้วรอยที่จะเกิดขึ้น
    • ควรเปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ และใช้หมอนทรงเตี้ย เพื่อป้องกันริ้วรอยที่จะเกิดขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ เพราะจะทำให้รอยย่นเด่นชัดขึ้น
    • สวมแว่นกันแดด สวมหมวก หรือกางร่มขณะออกแดด เพื่อลดการหยีตา ซึ่งจะเพิ่มรอยตีนกาให้มากขึ้น

  3. หมั่นดูแลผิวให้ชุ่มชื้น
    • ทาครีมหรือโลชั่น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
    • สำหรับบางคนที่จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนทดแทน ฮอร์โมนทดแทนจะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและชุ่มชื้นขึ้นได้

  4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
    • รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอี ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นสาร แอนตี้อ็อกซิแดนท์ที่กำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเสื่อมของผิวหนัง ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและหลอดเลือดในสมองตีบ นอกจากนี้ยังช่วยให้สายตามองเห็นในที่มืดได้ดี และช่วยป้องกันโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้
    • แหล่งอาหารที่มีสาร แอนตี้อ็อกซิแดนท์มากที่สุด คือผักและผลไม้ที่มีสีส้ม สีเหลือง หรือสีแดง เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ และแตงโม เป็นต้น

  5. พักผ่อน ออกกำลังกาย ไม่เครียด
    • พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ผิวพรรณจะสดใส
    • ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอให้เหมาะสมกับวัย เพื่อช่วยให้การหมุนเวียนโลหิตในร่างกายดีขึ้น ทำให้ผิวหนังได้สารอาหารและออกซิเจนเพิ่มขึ้น
    • ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผิวหนังจะได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงเพิ่มขึ้น

หากดูแลตัวเองได้ตามนี้ รับรองว่าแม้ผิวพรรณจะไม่เต่งตึงเหมือนหนุ่มๆ สาวๆ แต่ก็เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า งามตามวัย ค่ะ

ที่มา: http://i-puk.com/beauty/wrinkle-9.php

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง: SAL F+APP ESSENCE, GLUTA-WITE, EUCERIN SUN LOTION EXTRA Light

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การชะลอการแก่ของผิว

การแก่เกิดขึ้นในวินาทีแรกของการมีชีวิต เซลจะเริ่ม เสื่อมและตายลง และมีวิธี ชะลอ แก่ ผิว  ความสวยความงาม การแทนที่ด้วยเซลใหม่ เซลบางชนิดมีอายุสั้นมากเช่น เซลเม็ดเลือดแดงมีอายุเพียง เจ็ดวัน เซลผิวหนังมีอายุประมาณ หนึ่งเดือน เซลล์เนื้อเยื่อ และพังผืดมีอายุประมาณ สิบห้าปี มีเซลเพียงสองชนิดเท่านั้นที่มีอายุเท่ากับอายุจริงของเรา คือเซลสมอง และเลนส์ตา แล้วทำไมเราจึงดูแก่ขึ้นได้ หากเซลผิวหนัง และเนื้อเยื่อมีการสร้างทดแทนอยู่ตลอดเวลา

เหตุผลที่สำคัญคือ เซลที่สร้างใหม่ทดแทน จะมีการทำงานที่ลดน้อยลง หรือเปลี่ยนแปลงไป อย่างช้าๆ ตัวอย่าง เช่น เซลไฟโบรไชท์ ที่สร้างเส้นใยคลอราเจน จะสร้างคลอราเจนใหม่แทนที่ของเดิม ในอัตราลดลงประมาณ 1 % ต่อปี เราจึง มีผิวหนังแท้ และเส้นใยพังผืด ซึ่งเป็นสิ่งที่ ทำให้ผิวดูเต่งตึง กระชับ ลดน้อยลง เมื่อการสูญเสียมากถึงระดับหนึ่ง เช่นเสียไป เกินสามสิบเปอร์เซ็นต์ เมื่ออายุมากกว่าสามสิบปี เราจะเริ่มเห็น ผิวหนังในหลายตำแหน่ง จึงเริ่มหย่อนคล้อยไปตามแรงดึงดูดของโลก

ซึ่งทำหน้าที่เหมือนฟิล์มกรองแสง อัลตร้าไวโอเลท และสารแปลกปลอม และมลพิษทั้งหลาย หลังจากเวลาผ่านไป จะเห็นการเปลี่ยนแปลง เกิดการบางตัว ผิวแห้งแตก มีรอยด่างดำ เกิดรอยย่นเล็กๆ และมีการขยายตัวของเส้นเลือดฝอย เกิดติ่งเนื้อ หรือเนื้องอก แม้กระทั่งมะเร็งผิวหนัง การ เปลี่ยนแปลงนี้จะเห็นได้มากบริเวณที่ถูกแสงแดด และ คนผิวสีขาว จะมีการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าสีผิวเข้ม การเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นผลจากการเกิดอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดการเสื่อมลงของเซลแทบทุกชนิด

การลดการเกิดอนุมูลอิสระ ที่สำคัญ คือ

1.หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด หากจำเป็นต้องออกแดด ควรสวมหมวกปีกกว้าง หรือกางร่ม หากออกกำลังกลางแดด ควรใช้ครีมกันแดด ที่สามสารถกรองได้ทั้ง อัลตร้าไวโอเลท เอ (มีค่า PPD มากกว่า +++) และอัลตร้าไวโอเลท บี (ค่า SPF, Sun protecting factor มากกว่า มากกว่า 30) ต้องทาประมาณ สามสิบนาทีก่อนออกแดด และ ทาปริมาณที่เหมาะสม (บีบยา ประมาณ สองกรัม หรือหนึ่งข้อนิ้วชี้ ต่อแก้มหนึ่งข้าง)

2.ลดการแห้งแตกของผิว ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ ด้วยการใช้ สบู่อ่อน หรือครีมอาบน้ำ และทา โลชั่นลดความแห้งหลังอาบน้ำอย่างสม่ำเสมอ

3. งดบุหรี่ และหลีกเลี่ยงสถานที่มีควันบุหรี่สูง

4. หลีกเลี่ยงบริเวณที่มี ควันรถยนต์ และมลพิษสูง เช่น ริมถนน ที่จราจรหนาแน่น

5. ลดอาหารที่มีอนุมูลอิสระสูง เช่นน้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำ

6.การรับประทานอาหารที่มีสารจับอนุมูลอิสระ ที่สำคัญคือ ไวตามินซีธรรมชาติ ในผลไม้และผักสีเขียว เช่น ฝรั่ง แอปเปิล ผักสลัด ฯลฯ ให้เพียง พอ และสม่ำเสมอ ไวตามินซี จะทำงานได้ดีร่วมกับไวตามินอี ซึ่งมีในไข่ เนื้อสัตว์ จึง ควรรับประทานอาหารให้สมดุลทุกหมู่ ไวตามินซีถูกทำลายได้เร็วด้วยความร้อน จึงควรเลือกรับประทานเฉพาะผลไม้สด น้ำผลไม้ที่คั้นสด และผักสด

7. ลดความเครียด จากปัญหาต่างๆ ฝึกจิตให้สงบ เช่นการฝึกสมาธิ เล่นกีฬา หรือมีงานอดิเรกที่ผ่อนคลายทำ อย่างสม่ำเสมอ

8.การใช้เวชภัณฑ์ ลดอนุมูลอิสระ เช่น การกินไวตามินซี ไวตามินอี สารบางชนิด เช่น โค เอนไซย์คิวเทน ฯลฯ เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูง จึงเหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลเร็วอย่างชัดเจน เวชภัณฑ์ ที่อ้างว่าชะลอความแก่ได้นั้นมีมาก แต่มีการศึกษายืนยันว่ามีประโยชน์มีไม่มาก บางชนิด มีการกล่าวอ้างเกินจริง เช่น การรับประทานยาที่มีคลอราเจน โดยหวัวว่าจะไปทดแทนคลอราเจนที่ลดลง โดยหารู้ไม่ว่า กระบวนการย่อยสลายในระบบทางเดินอาหาร จะย่อยสลายคลอราเจนที่กินเข้าไปเป็นกรดอะมิโน ก่อนจะส่งไปทางกระแสเลือดเพื่อสร้างคลอราเจน การกิน คลอราเจนจึงไม่ได้มีผลต่างจากการกินโปรตีนเช่น เนื้อสัตว์ ไข่ขาว นมถั่วเหลือง ฯลฯ

9. การทาเวชสำอาง ที่มีสารลดอนุมูลอิสระ เข่น ไว ตามินซี ฟลูเรอรีน (Fullerene) หรือสารกระตุ้นการเจริญของเซลล์ เช่น อนุพันธ์ ไวตามินเอ (Retinoic acid) เป็นวิธีที่สิ้นเปลือง และ ควรได้รับการแนะนำจากแพทย์ เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงอาการแทรกซ้อน

การลดการสะสมไขมัน ได้แก่

1.การรับประทานอาหาร ให้ได้พลังงานเหมาะสมสำหรับ แต่ละวัย อายุมากขึ้นความต้องการพลังงานจะลดลง และการกระจายพลังงานให้เหมาะสมในแต่ละวัน อาหารเช้า เป็นมื้อสำคัญ ควรได้พลังงาน ประมาณ 40% มื้อกลางวัน 40% และ มื้อเย็น 20% คนส่วนใหญ่จะรับประทานอาหาร สวนกับความต้องการพลังงานในแต่ละช่วง การรับประทานอาหารมื้อเย็นมากเกินไป ทำให้เกิดการสะสมของไขมันทำให้อ้วน และมีปัญหาสารพัดตามมา

2. ลดการรับประทานไขมันจากพืช และน้ำมันพืชที่มีไขมันอิ่มตัวสูงเช่นน้ำมันมะพร้าว น้ำมันรำ

3. เพิ่มปริมาณอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ข้างกล้อง ผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด

4. ลดอาหารประเภท แป้งและ น้ำตาลลง เช่น ขนมหวาน เครื่องดื่มหรือ ชากาแฟผสมน้ำตาล

5. การออกกำลังกาย อย่างน้อย สามสิบนาทีสัปดาห์ละสามครั้ง

สำหรับการแก้ไขปัญหา จากความแก่ เช่น รอยย่น ความหย่อนยานของผิว ไขมันสะสม และสีผิวผิดปกติ ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ด้านเวชสำอางใน ปัจจุบัน สามารถทำให้ เราดูอ่อนวัยลงได้ โดยไม่ยุ่งยากและสิ้นเปลืองเกินไปจะได้กล่าวถึง เป็น เรื่องๆไปตอนต่อๆไป

ขอบคุณเนื้อหาดีดี จาก โรงพยาบาลเจ้าพระยา

และ Women MThai

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง SAL F+APP ESSENCE

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำให้ผิวขาว 27 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็น ที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้ บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิว ขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...

1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบน สุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิ ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และ หากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิด การอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีม ควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็น อุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือ ฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่ม ด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วย การใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น เกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการ เสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรด ช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้ว หั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่า ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมัน หอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมาก ขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือ เพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา

ที่มา: เวชสำอางค์