วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำให้ผิวขาว 27 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็น ที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้ บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิว ขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...

1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบน สุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิ ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และ หากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิด การอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีม ควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็น อุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือ ฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่ม ด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วย การใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น เกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการ เสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรด ช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้ว หั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่า ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมัน หอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมาก ขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือ เพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา

ที่มา: เวชสำอางค์

คุยเฟื่อง เรื่องครีมกันแดด (ตอนจบ)

คุยเฟื่อง เรื่องครีมกันแดด (ตอนจบ) article

บทความ ของ http://www.vinegargirl.com/2006/03/10/what-is-uva-uvb-water- resistant-water-proof-sunscreen-information/

------------------------

ครั้งที่แล้วทำ เป็นแอบวงเล็บ (ตอนที่ 1 ) ทำเหมือนน่าจะมีหลายตอน…จริงๆ ก็มีแค่เนี้ยหล่ะค่ะ..5555555 (ทำหน้าภาคภูมิจายในความมั่วนิ่ม!) ว่าแล้วก็มาทำความรู้จักกับครีม กันแดดกันต่อเลยค่ะ

All About Sunscreen

PA+ / PA++ // PA+++
หลายๆคนคงคุ้นๆเจ้า PA กันมาบ้างนะคะ..เอ่อ! PA นะเคอะ ไม่ช่าย PO เหอๆๆ อันนั้นต้องเมางาน อาหารกลางวันไม่ย่อยแน่ๆค่ะ
ตอนนี้ครีมกันแดดมักจะปะ PA+ หรือบวกบวก หรือบวกบวกบวก ไม่ใช่เสียค่า VAT 7% + กับ service charge อีก 10% นะคร้าบบบพี่น้อง แต่เป็นหน่วยวัดระดับการปกป้องรังสียูวีเอ (ถ้ายังงงๆ ขอทบทวนบทเรียนเก่ากันก่อนนะคะนักเรียน SPF เนี่ยเป็นค่าการปกป้องผิวของครีม กันแดดจาก รังสียูวีบีค่ะ) แต่ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดหน่วยบอกระดับการซึมซับยูวีเอ อย่างละเอียดแบบ SPF เพราะฉะนั้นค่า PA เลยเป็นแค่การบอกคร่าวๆด้วยเครื่องหมาย + ค่ะ (ไม่มีลบ คูณ หารนะเคอะ! <- มันยังจะกล้าเล่นมุขนี้อีกคร้าบบบทั่นผู้ชม!! - -") ที่เค้ามี + กันมีอยู่ 3 ระดับค่ะ จริงๆแล้ว PA+ ก็เพียงพอในการทำกิจกรรมเกือบทุกประเภทของคุณสาวๆแล้วหล่ะค่ะ แต่ถ้าต้องอยู่กลางแดดนานๆ ก็เพิ่มเป็น PA++ หรือระดับสูงสุดที่ PA+++ ก็ได้ค่ะ

สองศรีพี่น้อง UVA & UVB ยูวีบี (ผู้น้อง) จะทำให้เกิดอาการแสบร้อนผิว ผิวไหม้ได้ค่ะ ส่วน ยูวีเอ (ผู้พี่) มาแบบไม่รู้ตัว เพราะเราไม่รู้สึกแสบร้อนเวลาโดน แต่อิทธิฤทธิ์เหลือร้ายค่ะ เพราะคุณพี่เค้าทำให้สาวๆเราหน้าตาเหี่ยวย่น เป็นฝ้า และก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ค่ะ

Water Resistant กับ Waterproof
จริงๆแล้วไม่มีครีมกันแดดตัวใดที่สามารถกันน้ำ (Waterproof) ได้ดั่งที่ฉลากแปะไว้ ยังไงก็ต้องทำซ้ำเวลาเหงื่อออก หรือหลังลงเล่นน้ำค่ะ เลยน่าจะเป็นการเล่นภาษาในการโฆษณามากกว่าค่ะ
ส่วนครีมกันแดดที่ระบุไว้ว่า Water Resistant จะมีส่วนผสมจากพลาสติกสร้าง แผ่นฟิล์มเคลือบครีมกันแดดให้ติดแน่น แม้จะเปียกน้ำ ฉะนั้นเวลาทาครีมกันแดดชนิดนี้แล้วลงน้ำนาน 40 นาที ค่า SPF ก็ยังคงที่ แล้วในตลาดก็ยังมี Very Water Resistant (แบบขอมีสูตรโชว์เหนือกว่า นี๊ดดดส์นึง) ก็จะทำให้ทนน้ำได้นานยิ่งขึ้นเป็น 80 นาทีค่ะ แต่ไม่น่าจะใช้เป็นประจำค่ะ เพราะมันเหนียวเหนอะภายใต้เมคอัพของสาวๆค่ะ

มีคำถามหลัง ไมค์มาจากเรื่อง Physical กับ Chemical ที่ บอกไว้ในตอนแรกค่ะ
จริงๆแล้วทั้งคู่ต่างก็เป็นสารเคมีนะคะ เพียงแต่การเล่นคำโฆษณา (อีกแล้นครับท่าน!) ที่ได้โอกาสเรียก Physical หรือ “Non-Chemical” อาจ ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าไม่ได้เป็นสารเคมี แต่นั่นคือชื่อชนิดของครีมกันแดดเฉยๆนะคะ confirm ค่ะว่าทั้ง 2 ชนิดต่างก็เป็นสารเคมี แต่หน้าที่การทำงานแตกต่างกันไปค่ะ

  • ครีมกันแดดแบบ Physical เค้าก็พยายามผลิตคิดค้นที่ทำให้ หน้าตาไม่ขาววอกเกินเหตุ อย่าเช่นของ DDF Moisturizing Photo-Age Protection SPF 30 (1,800 บาท) แต่เดี๋ยวนี้เค้ามีเทคนิคการขายที่เหนือชั้นกว่าคือทำเป็นว่า ครีมกันแดด แล้วมี makeup base ในตัว (ว่าเข้าไปน่านนน..จริงๆมันก็ขาวสว่างด้วยตัวเองอยู่แว้ว – -”) แต่จริงๆอะฮั้นก็รับได้นะคะ เพราะหน้าขาวๆ ก็ยังดีกว่าหน้าดำๆอ่ะเคอะ แล้วก็ยังมีพวกสูตรโลชั่นน้ำ ต้องเขย่าๆก่อนใช้! อิอิ ( คิดถึงอารายยกันค้า…ทะลึ่งนะคะเนี่ย!! คนเดียวเลยสิ เนี่ย!! ) อ่ะเข้าเรื่องต่อครีมกันแดดแบบนี้ชอบมากๆเป็นการส่วนตัว เพราะให้ความรู้สึกไม่เหนียวเหนอะหนะค่ะ ที่ใช้อยู่เช่น Sunplay Powdery White SPF47+ (299 บาท) ถ้าแพงหน่อยก็ Anessa จาก Shiseido (ประมาณ 1,200 บาท) ((ไม่ได้ซื้อนานพอสมควร ไม่แน่ใจว่าราคาขึ้นไปเท่าไหร่แล้วค่ะ…มีฝากเพื่อนซื้อจากญี่ปุ่นบ้าง ราคาจึงค่อนข้างถูกกว่าที่นี่ แต่ช่วงหลังๆ ขี้เกียจรอเพื่อนเลยซื้อ Sunplay ใช้ ยี่ห้อ Biore ก็มีขายแล้วนะคะ ราคาน่าจะอยู่ที่ 270-350 บาทค่ะ ลองซื้อมาใช้แล้วเหมือนกันค่ะแต่จำราคาไม่ค่อยได้))
  • ส่วนครีมกันแดดแบบ Chemical ก็มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแล ผิวให้มากขึ้น อย่าง RoC Minesol SPF 30 Anti-Shine Emulsion (800 บาท) ที่ช่วยยับยั้งความมันได้ Lancome Absolue Soleil Absolute Replenishing Protective Face Cream SPF 50 ( 2,800 บาท) ช่วยลดริ้วรอย และจุดด่างดำค่ะ

ครีมกันแดดแบบ Water Resistant เช่น The Body Shop Protect it! Sun Lotion for Body SPF25 PA++ (890 บาท) ส่วนสูตร Very Water Resistant เช่น SpectraBAN Sunblock Cream SPF 60 (225 บาท) ค่ะ

ที่มา: คุยเฟื่อง เรื่องครีมกันแดด (ตอนจบ) ใน เวชสำอางค์

คุยเฟื่อง เรื่องครีมกันแดด (ตอนที่ 1)

ขอ ขอบคุณ http://www.vinegargirl.com/2006/03/07/sunscreen-what-is- spf-sunscreen-information/ สำหรับข้อมูลดีๆ ค่ะ

Sunscreen GuidelineNote: ข้อมูลดีๆเหล่านี้ นำมาจากหนังสือ คนรักหน้า
โดย แพทย์ หญิงนันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ

ครีมกันแดดแบ่ง เป็น 2 ประเภทค่ะ คือ

  • Chemical Sunscreen : เป็นครีม กันแดดที่ทำหน้าที่ดูด ซับรังสีอัลตราไวโอเลตไว้ แต่ไม่ทั้งหมดนะคะ
  • Physical Sunscreen : อันนี้เป็นประเภทที่มาแรงแซงโค้งกว่าค่ะ เพราะว่าครีมประเภทนี้ไม่ดูดซึม แต่จะสกัดกั้น (block) รังสีอัลตราไวโอเลตไว้ ไม่ให้ลงสู่ผิวของเรา คล้ายๆกับหลักการสะท้อนกลับค่ะ ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง จะเรียกครีมชนิดนี้ว่า “Non-Chemical” ซึ่งมีส่วนผสมหลักก็คือ ไททาเนียม ไดออกไซด์ (Titanium dioxide) และ ซิงค์ ไดออกไซด์ (Zinc dioxide) ที่มีคุณสมบัติในการสะท้อนกลับอย่างสูงงงงง มีข้อดีก็มีข้อเสียค่ะ ข้อเสีย คือ ความมันเยิ้มและเป็นคราบเวลาเหงื่อออกมากๆ หรือเวลาโดนน้ำ

SPF คำ ที่คุ้นหู.. มาดูกันค่ะว่ามันคืออะไร?!
SPF มีชื่อเต็มๆว่า Sun Protection Factor
ซึ่งก็คือ ค่าของครีม กันแดดที่จะบ่งบอกระยะเวลาที่สามารถปกป้องผิวของเราจากรังสียูวี ว่านานแค่ไหนค่ะ
ก่อนอื่นต้องสังเกตผิวของตัวเราเองก่อนค่ะว่าถ้าเราไม่ได้ทาครีม กันแดดแล้วสามารถทนอยู่ท่ามกลางแสงแดดได้กี่นาที หรือง่ายๆ สั้นๆ คือ ถ้าไปยืนตากแดดหัวแดงกี่นาทีผิวคุณสาวๆถึงจะไหม้หน่ะค่ะ
การคำนวณก็ง่ายๆ ถ้าผิวเราทนแดดได้แค่ 10 นาที ถ้าเราใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 ก็จะช่วยให้เราทนแดดได้นานมากขึ้น 15 เท่า หรือบวกลบคูณหารมาแล้ว เท่ากับ 150 นาที (2 ชั่วโมงครึ่ง) ค่ะ

ลองมาดู ตัวอย่างอันนี้กันค่ะ เป็นระยะเวลาที่ผิวสามารถทนแดดได้

ชนิดของผิว ไม่ได้ใช้ครีมกันแดด ครีมกันแดด SPF 8 ครีมกันแดด SPF 15
ผิวขาว 10 นาที 80 นาที 2 1/2 ชม.
ผิวเหลือง – น้ำตาล 30 นาที 4 ชม. 7 1/2 ชม.
ผิวดำ 1 ชม. 8 ชม. ตลอดวัน

ขอฝากเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยไว้อีกนี๊ดดดส์ค่ะ
Tips & Tricks
สาวๆหลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่า ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ยิ่งสูงจะยิ่งปกป้อง ผิวได้ดีมากขึ้นนะคะ แต่จริงๆแล้วสาวเมืองร้อนอย่างเราๆ ใช้ครีมที่มีค่า SPF อยู่ในระดับ 15-30 ก็พอค่ะ เพราะถ้าเกินกว่า SPF 30 อาจจะทำให้ผิวอักเสบ ระคายเคือง มากเกินความจำเป็นค่ะ ที่สำคัญจะทำให้กระเป๋าสตางค์อักเสบ เพราะบริษัทเครื่องสำอางมักทำราคาของครีมกันแดด สูงตามค่า SPF ด้วยหน่ะสิคะ..อิอิ ใช้วิธีทาซ้ำบ่อยๆ เวลาที่เราต้องลงเล่นน้ำ ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ตอนที่ผิวหนังต้องมีการเสียดสี อย่างนอนกลิ้งกลุกๆคลุกทราย หรือเช็ดตัว เท่านี้ก็ช่วยให้ผิวคงความสวย แบบเสียตังค์น้อยหน่อยแล้วหล่ะค่ะ ^_^

ที่มา: คุยเฟื่อง เรื่องครีมกันแดด (ตอนที่ 1) ใน เวชสำอางค์

การเลือกครีมกันแดด

รังสี UV
รังสี UV

นพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและผิวพรรณ

ในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด ซึ่งจะมีการเขียนอธิบายอยู่ข้างหลอดของครีมกันแดด UV-A UV-B ซึ่ง 2 ประเภทนี้ คือ ชนิด AและB ก็มาจากแสงของดวงอาทิตย์ ส่องมายังพื้นโลก จะเป็น UV-A 95 % UV-B 5 % ซึ่งทำให้เกิดปัญหาของผิวพรรณตามมา และมี UV-C ซึ่งจะไม่ลงมาบนพื้นผิวโลก เนื่องจากชั้นโอโซนช่วยกรองเอาไว้ ซึ่ง UV-C เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนัง

รังสีจาก UV-A จะทำให้ผิวแก่ก่อนวัย หน้าคล้ำได้ ฉะนั้นเวลาไปทะเล แล้วผิวคล้ำเกิดจาก UV-A

รังสีจาก UV-B Burning คือผิวไหม้แดด เกรียมแดด อย่างกรณีไปอาบแดด แล้วผิวไหม้ ผิวเกรียม เกิดจาก UV-B ฉะนั้นจึงต้องมีครีม กันแดดป้องกันทั้ง 2 อย่าง ทั้ง UV-A และ UV-B

SPF หมายถึงประสิทธิภาพในป้องผิวจากแสงแดดการการไหม้ ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าผิวของคุณทนต่อแสงแดด ได้เป็นเวลา 15 นาทีเกิดการอาการไหม้ การทาครีมป้องกันแสงแดด SPF 30 นั้นจะช่วยให้ผิวจะทดได้ 450 นาที ก่อนที่ผิวจะไหม้ จึงสรุปได้ว่า ค่า SPF เป็นค่าจำนวนเท่าของเวลาในการทนต่อแสงแดด ก่อนที่ผิวจะไหม้ (ป้องกันรังสี UV-B) ดังนั้นครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องป้องกันรังสี UV-A ได้ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF ที่สูง ไม่จำเป็นที่จะป้องกันรังสี UV ได้ดีเสมอไป.

PA หมายถึง Protection Grade of UVA หรือระดับการป้องกันแสง UV-A นั้นเอง ซึ่งมีอยู่ 3 ระดับ คือ PA+ , PA++ และ PA+++ โดยที่ PA+++ มีค่าการป้องกันสูงที่สุด PA+ นั้นเหมาะกับการป้องกันทั่วๆไป ส่วนผู้ที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรใช้ครีมกันแดดที่มี ระดับการป้องกัน PA++ ขึ้นไป.

Physical กับ Chemical Sun-screen Physical Sun-screen หรือครีมกันแดดชนิดกายภาพ คือเป็นสารที่ช่วยสะท้อนแสงออกไป ซึ่งอาจจะทำให้ดูขาววอก ส่วน Chemical Sun-screen จะทำการดูดซับรังสี UV แทนผิว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสารควบคุมให้ใช้ในปริมาณที่จำกัด ตามกฏหมายเครื่องสำอางควบคุม.

ครีม กันแดดที่อ้างว่ากันน้ำ หรือกันเหงื่อ ไม่ได้หมายความว่ามันจะกันได้ตลอด เมื่อเหงื่ออก ลงน้ำ หรืออะไรก็ตาม สารเคมีที่เป็นตัวกันแดดจะเสื่อมลง หลายๆ ครั้ง มันก็ยังเหนียวหนึบติดผิวเราอยู่ คือ พอถูกน้ำ ประสิทธิภาพในการกันแดดจะลดลง โดยส่วนมากแล้ว คำว่า Waterproof หรือ Water Resistant จะทนน้ำได้ไม่เกิน 60 นาที ก็เสื่อมแล้ว ส่วน Very Water Resistant เนี่ย ก็จะอยู่ได้ไม่เกิน 80 นาทีแค่นี้เอง

ที่มา: การเลือกครีมกันแดด ใน เวชสำอางค์

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำให้ผิวขาว 27 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...

1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิ ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่า ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา

รีวิว Eucerin จาก Pantip.com

บังเอิญไปเจอเนื้อหาน่าสนใจบน Pantip.com เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Eucerin เลยเอามาฝากกันค่ะ

-----------------------------

ครับมาถึงการรีวิวสกินแคร์ครั้งที่สาม ของผมแล้วนะครับ วันนี้จะกล่าวถึงยี่ห้อยูเซอริน เพียวๆ นะครับ แบรนด์ เยอรมัน หลายๆคนคงทราบดีนะครับว่าเป็นยี่ห้อเก่าแก่แค่ไหน ซึ่งยี่ห้อนี้ผมก็ใช้มาตั้งแต่เด็กนะครับ
ของเค้าก็มีดีหลายอย่างนะ ครับแต่หลายๆคนคงรู้ถึงสรรพคุณดีว่า ช่วยในเรื่องผิวแห้งเป็นไหนๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์เป็นพวก Medical Grade นะครับถึงได้มีคำว่า Dermatological Skincare กับ Dermatologist Recommended กำกับอยู่ทุกขวดผลิตภัณฑ์ หากจะดูความน่าเชื่อถือแล้ว โอเคมากๆเลยครับที่กล้าออกมาเครม ถึงขนาดนี้ ครับผมไม่พิมพ์มากแล้วไปดูกัน
ปล. รูปไม่ค่อยชัดนะครับใช้มือถือถ่าย

1. Eucerin Ultra Sun Protection หลอดเหลือง SPF 60
ที่มา : Watson สาขา โลตัสพระราม 1
ราคา : 5ร้อยปลายๆ มั้ง
ความรู้สึก : ทำไมของยี่ห้อนี้ถึงได้ใส่น้ำมัน อีโมเลี๊ยน เยอะบ้าบอคอแตกอย่างนี้ โคตะระมัน เยิ้มเน้นเลยนะครับว่า มันเยิ้ม มากๆ ไม่ไหว หนักหน้ามากๆ ซึมช้าเป็นที่หนึ่ง ทาเสร็จไม่ซึมพาลทำหน้าคล้ำมากครับ
คะแนน : 3/10 ให้เพราะถือเป็น medical grade สงสัยยี่ห้อนี้คงดีแต่ตัวอาบน้ำมั้ง
ซื้อ ต่อไหม๊ : ชาตินี้หากไม่ได้ไปอยู่เมืองหนาวหรือหน้าของกระผมไม่ dehydrate มากคงไม่ซื้อใช้หรอกครับ

Eucerin Extra Protection SPF 30
ที่มา : พี่ซื้อมาฝากจากสหรัฐอเมริกา
ราคา : ฟรีๆ แต่น่าจะมีบอกในเวปนะครับ
ความ รู้สึก : ดีมากๆ ครับตัวนี้ดีกว่าเจ้าหลอดเหลืองมากๆ โคตะระ เบาหน้ามากๆ ชุ่มชื้น ไม่แพ้ด้วยครับ ได้รับการแนะนำจาก Skin Cancer Foundation ของ อเมริกา อะไรจะขนาดนั้นเนี๊ยยย (หรือเราถูกฝรั่งหลอกว่ะแต่หลอกในทางที่ดีก็น่าสนอยู่เด้อ) ประหยัดใช้มากๆกลัวหมด บางวันทาตัวนี้แล้วไปเรียนเลยครับ
คะแนน : 9/10 หักที่ไม่มีขายที่นี่ครับ
ซื้อต่อไหม๊ : ได้ข่าวว่าไม่มีขายในเมืองไทย

Eucerin Everyday Protection Body Lotion SPF 15
ที่มา : พี่ซื้อมาฝากจากสหรัฐอเมริกา
ราคา : สงสัยต้องดูในเวปนะครับ www.EucerineUS.com
ความรู้สึก : ทาปุ๊บซึมปั๊บอะไรจะขนาดนี้เนี๊ย ดีมากๆๆครับ แน่นอนได้รับคำแนะนำให้ใช้จาก สมาคมมะเร็งผิวหนังของอเมริกา ใช้แล้วเค้าบอกว่าช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังในระยาวได้ โอ้โหจอร์จ!! แจ่มมากครับส่วนผสมตัว active ingredient เยอะมากๆ มี antioxidant แล้วก็ urea โหยยแค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว
คะแนน : 9.5/10 หักที่อยู่นี่ไม่มีขาย
ซื้อ ต่อไหม๊ : ฝากเพื่อนที่ไป work ซื้อมาเรียบร้อยแล้วฮ่าๆ เปิดเทอมเจอกันนะ

Eucerin pH5 Shower Oil
ที่มา : ใช้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วตั้งแต่ยังเป็นแพคเกจเก่า
ความรู้สึก : มีออยล้างหน้าก็ต้องมีออยอาบน้ำบ้างสิ สุดยอดออยอาบน้ำครับอาบแล้วผิวที่แห้งๆจากแสงแดดจากห้องแอร์ช่วยได้มากๆ ครับ ผิวแขนผิวขาจะแข็งแรงมากๆชุ่มชื้นเวลาอาบออยจะเปลี่ยนเป็นฟองน้ำมันนม ชุ่มชื้นมากกลิ่นหอมอ่อนๆสุดชื้นมากครับ นวดเน้นๆที่ตาตุ่มหัวศอกและเข่านะครับ ตัวนี้เอาไปอาบที่ฟิตเนส หลังเข้าห้อง Stream ผิวนุ่มสุดยอด ไม่ต้องเข้าสปา นวดน้ำมันได้เลย
คะแนน : 10/10
ซื้อต่อไหม๊ : ตลอดกาลและตลอดไป

Eucerin pH5 Wash Lotion
ที่มา : ใช้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วตั้งแต่ยังเป็นแพคเกจเก่า
ความรู้สึก : เป็นโลชั่นอาบน้ำที่เนื้อเข้มข้นมากๆ หอมอ่อนๆไม่ฉุนเลย ใช้เวลาผื่นคันขึ้นครับ คันจากแพ้ คันจากอากาศร้อน Eczema ต่างๆ สุดยอดๆ ใช้แล้วผิวไม่คันเคยไปถามหมอผิวหนังนะครับเค้าบอกว่าใช้ตัวนี้ดีแล้วเราอย่า เปลี่ยนนะ เพราะมันไม่มีสารเคมีที่ทำให้ผิวแพ้เลย ฮ๋า!!!! จริงเหรอเนี๊ยดีจริงๆ
คะแนน : 10/10
ซื้อต่อไหม๊ : จะใช้ตลอดไป

Eucerin pH5 Lotion
ที่มา : ใช้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วตั้งแต่ยังเป็นแพคเกจเก่า
ความรู้สึก : กล้ารับประกันว่าไม่มี โลชั่นใดที่ช่วยผิวแห้งได้เท่านี้อีกแล้วเพราะผิวขาผมแห้งมากๆ ทาตัวนี้แล้วจะมันๆเหนียวๆตอนแรก พอซึมหมดเท่านั้นแหละครับ (เน้นว่าซึมนะไม่ใช่เคลือบบนผิว) ผิวนุ่มสุดยอด แต่ตัวนี้ไม่มีกันแดดเด้อ หอมอ่อนๆไม่ฉุนออกแนวกลิ่นคลินิกหมอเลย
คะแนน : 9/10
ซื้อต่อไหม๊ : แน่นอน

Eucerin pH5 Lotion F for dry skin
ที่มา : ใช้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วตั้งแต่ยังเป็นแพคเกจเก่า
ความรู้สึก : กล้ารับประกันว่าไม่มี (อีกตัว) ว่าโลชั่นใดที่ช่วยผิวแห้งได้เท่านี้อีกแล้วเพราะผิวขาผมแห้งมากๆ ทาตัวนี้แล้วจะมันๆเหนียวๆหนักๆในตอนแรก พอซึมหมดเท่านั้นแหละครับ (เน้นว่าซึมนะไม่ใช่เคลือบบนผิว) ผิวนุ่มสุดยอด แต่ตัวนี้ไม่มีกันแดดเด้อ หอมอ่อนๆ ( ใช้หน้าหนาวสุดยอดม๊อยส์)
คะแนน : 10/10

ที่มา: http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2008/04/Q6504689/Q6504689.html

ผลิตภัณฑ์ Eucerin อื่นๆ ของเรา Eucerin Micro Q10 Night , Eucerin PH5 Wash Lotion for Body & Face 1000ml , Eucerin Sun Lotion Extra Light 50 High UVA/UVB 150ml , Eucerin PH5 Wash Lotion for Body & Face 400ml , Eucerin PH5 Lotion F 250ml


เวชสำอางค์คืออะไร

มีคำถามจำนวนมากว่าทำไมทุกวันนี้เราพูดกันถึงแต่คำว่าเวชสำอางค์

เวชสำอางค์ หรือ cosmeceuticals มาจากคำว่า เวชภัณฑ์ + เครื่องสำอาง ซึ่งก็คือ ยาหรือเวชภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเป็นเครื่องสำอางค์ไปในตัวด้วยค่ะ โดยมากมักจะหมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้เสริมความงาม ชลอความเหี่ยวย่น หรือลบจุดด่างดำ เป็นต้น

เวชสำอางค์ที่รู้จักกันในปัจจุบันมีมากมาย เช่น AHA, Vitamin E, Hyaluronic acid, Ceramide, Sun-screen substance, Oxylastil, Whitening agents และ Anti-cellulites ฯลฯ

คอสเมซูติคอล (Cosmeceutical) หรือเวชสำอางค์ได้กลายมาเป็นทางเลือกหนึ่งของคนรักครีมบำรุงผิว เพราะเป็นครีมที่อยู่กึ่งกลางระหว่างยาและเครื่ืองสำอางค์ ซึ่งจะออกฤทธิ์ได้ผลดีกว่าเครื่องสำอางค์แต่ไม่เกิดอาการระคายเคือง

คอสเมซูติคอลหรือเวชสำอางค์ตอนนี้ ถือว่าเป็น Today Generation ที่มาแรงของวงการเครื่องสำอางค์ในปัจจุบัน และกำลังจะเข้ามาเป็นมาตรฐานของเครื่องสำอางค์ไปแล้ว เนื่องจากสมัยก่อน ครีมบำรุงผิวทั่วไปมักจะทำมาจากส่วนผสมของน้ำและน้ำมันแต่ต่อมาได้เพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงผิวต่างๆเข้ามาอย่าง "เวชสำอางค์" ก็จะเพิ่มสารออกฤทธิ์มีประสิทธิภาพสูงในปริมาณที่มากกว่าเครื่องสำอางค์ทั่วไป แต่ไม่ใช่ยาและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่นถ้าครีมบำรุงผิวทั่วไปมี AHA 0.1% ในเวชสำอางค์ก็จะมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่า แต่ไม่สามารถใส่ความเข้มข้นเท่ากับที่แพทย์ใช้ได้ เนื่องจากการรักษาที่ใช้สารออกฤทธิ์สูงๆมักจะต้องอยู่ในตวามดูแลของแพทย์เท่านั้น ในต่างประเทศ คอสเมซูติคอลหรือเวชสำอางค์เป็นที่นิยมกันมาก เนื่องจากได้ผลดีมากกว่าเครื่องสำอางค์ทั่วไปแต่ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองเหมือนกับใข้ครีมบำรุงผิว เมื่อก่อนนั้นเราอาจจะคิดว่าต้องเป็นครีมแพงๆเท่านั้นถึงจะบำรุงผิวได้ดี แต่มันขึ้นอยู่กับว่าครีมตัวนั้นๆเหมาะกับผิวของเรารึเปล่า บางคนใช้ครีมยี่ห้อดังมากๆ แต่ใช้แล้วไม่ดีขึ้น หรือไม่ก็หน้าแย่ลงกว่าเดิม ถามว่าครีมนั้นไม่ดีรึเปล่า? คำตอบคือไม่ใช่ แต่มันอาจจะเหมาะกับผิวบางคนเท่านั้น

ปัจจุบันกระแสเวชสำอางค์ตอนนี้กำลังมาแรงแซงโค้งครีมดังหลายแบรนด์ เนื่องจากใช้แล้วได้ผลดี แก้ปัญหาได้ตรงจุด และไม่เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง แถมราคายังสบายกระเป๋าเมื่อเทียบกับครีมยี่ห้อแบรนด์ดัง ดังนั้นเวชสำอางค์จึงเป็นที่นิยมในหมู่ดาราและสาวไฮโซ เพราะสามารถดูแลผิวอย่างต่อเนื่องและตรงจุด เช่น คนที่มีปัญหาหน้าหมองไม่กระจ่างใส ก็จะมีการใส่สารที่ออกฤทธิ์มากเป็นพิเศษ หรือคนที่มีริ้วรอยลึก หน้าไม่กระชับ ก็จะเน้นใส่สารช่วยเรื่องยกกระชับเป็นพิเศษ หลายคนถึงแม้จะไม่มีเวลาทรีตเมนท์ แต่ถ้าใช้เวชสำอางค์ก็จะอุ่นใจในระดับหนึ่ง ซึ่งดาราและไฮโซส่วนใหญ่ที่ไม่มีเวลาบำรุงผิวจึงเทใจให้ "เวชสำอางค์" เป็นจำนวนมาก